ไมเกรน

ปวดสะบักออฟฟิศซินโดรม ปวดคอบ่าไหล่ ไมเกรน

นวดจัดกระดูก ฝังเข็ม ทำกัวซา ก็แค่บรรเทา เดี๋ยวก็เป็นอีก เวลานวดจะทนเจ็บปวดเพราะคิดว่าอดทนให้หมอนวดจะได้ทุเลา นวดจนฟกช้ำเลยก็มี บางครั้งปวดจนขึ้นหัวปวดกระบอกตา บ้านหมุน รู้สึกตึงไหล่ตึงคอ ลองปรับทุกอย่างแล้วยังเป็นเหมือนเดิม ทานยา ฉีดยา ทายา ทำกายภาพบำบัด นวด อบประคบ ออกกำลังกายแล้วก็ไม่ได้ผล จะทำอย่างไรดี

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าโรคนี้มีสาเหตุมาจากหลายสาเหตุมาก คนที่รักษาแล้วหายตามวิธีที่กล่าวมาก็มีมาก ไม่หายก็มีมากเช่นกัน

เหตุส่วนใหญ่เกิดจาก
อิริยาบท พฤติกรรม ความเครียด เคมีในร่างกาย สิ่งเร้าสิ่งกระตุ้น ความไวของเส้นประสาท ฯลฯ การรักษาไม่ถูกวิธีก็ทำให้เกิดอาการเรื้อรังได้ ต้องหาต้นเหตุให้เจอว่าอะไรเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการ โรคนี้เป็นแล้วก็ไม่ได้หายง่ายๆแม้จะเปลี่ยนพฤติกรรม ทำการรักษาสารพัดวิธีก็แค่บรรเทา

ให้ลองพิจารณาดูตัวเราหรือพูดง่ายๆว่าเจริญสติดูกาย ดูลมหายใจ ในขณะตื่น(นึกขึ้นได้ก็ดู) การดูกายก็คือ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนไหนเกร็งก็ผ่อนคลาย ดูลมหายใจก็คือ ผ่อนลมหายใจอย่ากลั้นหรือเกร็งการหายใจ สรุปถ้ามีสติรู้ตัวก็ให้ผ่อนคลายทั้งกล้ามเนื้อและลมหายใจ

เมื่อผ่อนคลายแล้วยังมีอาการของกล้ามเนื้อตึงอยู่ ให้ทำการยืดกล้ามเนื้อ ทายาหรือประคบน้ำร้อน ถ้ายืดกล้ามเนื้อแล้วไม่ดีขึ้น ให้ไปหาหมอเพื่อทำการคลายกล้ามเนื้อแล้วแต่ละวิธี แต่ไม่ควรทำรุนแรงต่อกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อประกอบไปด้วยเส้นใย การทำรุนแรงอาจทำให้ฉีกขาดและอักเสบได้ เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดพังผืด(เยื่อเหนียวที่ยึดกล้ามเนื้อให้ติดกัน)เนื่องจากพังผืดเป็นตัวซ่อมแซม ทำให้เกิดกลไกการหดตัวซ้ำ (เหมือนกับการนวดรุนแรงจนเกิดการอักเสบและฉีกขาดของเส้นใยกล้ามเนื้อหลังจากนวดรู้สึกคลายสบายแต่อยู่ได้สองสามวันก็เริ่มหดตัวอีกพังพืดก็หนาขึ้นกลับมานวดอีกก็ต้องใช้แรงมากขึ้นเรื่อยๆเป็นกลไกซ้ำๆทำลายแล้วก็สร้าง)

พังผืดเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะยืดตัวได้ไม่ดีเท่ากล้ามเนื้อทำให้รั้งกล้ามเนื้อ การทำรุนแรงเพื่อสลายพังผืดไม่ควรทำเพราะทำเท่ากับเป็นการสร้างพังผืดเพิ่ม การยืดกล้ามเนื้อที่มีพังผืดเป็นวิธีการที่ดีเพราะจะทำให้พังผืดยืดตัวได้ การยืดบ่อยๆจะทำให้พังพืด มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับเส้นใยกล้ามเนื้อ การนวด ก็ไม่ควรนวดทุกวัน อาจจะสามสี่วันหรือสัปดาห์ละครั้งก็พอเพื่อให้กล้ามเนื้อได้พัก การฝังเข็ม จัดกระดูก กัวซา กายภาพบำบัด ล้วนแต่เป็นวิธีที่ช่วยได้ แต่การปฎิบัติตัวของคนไข้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

การหดตัวเกิดจากหลายสาเหตุ เหตุหนึ่งที่ไม่ค่อยรู้ตัวกันก็คือเกร็งกล้ามเนื้อโดยตัวเราเองอาจจะเกิดจากความเคยชิน หรือการเกร็งจากอิริยาบทในการทำงานหรือในอิริยาบทต่างๆ การกลั้นหรือเกร็งการหายใจทำให้ออกซิเจนน้อย ถ้ายังกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัวบ่อยๆ ออกซิเจนน้อยจะทำให้กรดคั่งในกล้ามเนื้อทำให้อาการกลับมาเป็นได้อีก สิ่งเร้าสิ่งกระตุ้นหลายอย่างมีผลต่อร่างกาย แต่ถ้ามีสติ เมื่อถูกสิ่งเร้าสิ่งกระตุ้น(สิ่งที่มากระทบต่อผัสสะต่างๆ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ) ให้ดูกาย และลมหายใจทันที ก็จะช่วยได้

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้กล้ามเนื้อมีการเคลื่อนไหว ทานอาหารให้เป็นเวลา พักผ่อนให้เพียงพอ มีสติอยู่เสมอ ก็จะบรรเทาอาการเหล่านี้ได้

คนส่วนใหญ่มีอาการปวดเมื่อยตามร่างกายแล้วคิดว่าไม่เป็นอะไร คิดว่านวด หรือทายานวดบ่อย ๆ ก็คงหาย แต่หากยังไม่เปลี่ยนพฤติกรรม ปล่อยอาการปวดแบบนี้ทิ้งไว้นาน ๆ อาการจะยิ่งหนักขึ้น เรื้อรังไปถึงขั้นมีอาการหมอนรองกระดูกเสื่อม หรือหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาทได้เลย ซึ่งจะทำให้มีอาการปวดคอ ปวดสะบัก อาจมีหินปูนหรือกระดูกงอกมาเกาะไขสันหลัง ทำให้ปวดชาที่แขน มีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อได้

สรุป
อย่าเกร็งกล้ามเนื้อ (เช่นยกบ่าไหล่ขึ้นโดยไม่รู้ตัว หรือเกร็งกล้ามท้อง)
อย่ากลั้นหายใจ (เช่นตอนที่เครียด/โมโห/ดีใจ/เสียใจ/ตื่นเต้น/ตั้งใจ/ตกใจ)
อย่าหวั่นไหวต่อสิ่งเร้าสิ่งกระตุ้นต่างๆ
ออกกำลังกาย โยคะ ยืดกล้ามเนื้อ (อย่างสม่ำเสมอ)
อิริยาบท ทำท่าทางให้ถูกต้อง
อาหารทานที่มีประโยชน์และเป็นเวลา งดของมึนเมา พักผ่อนให้เพียงพอ
อานาปานสติ ดูกายดูลมทุกขณะ

หมอภาคภูมิ 10/8/2015